นอกจากไข้เลือดออกแล้ว โรคที่ต้องเฝ้าระวังอีกโรคก็คือ โรคชิคุนกุนยา ที่สร้างความปวดเมื่อยตามข้อ และกินเวลาในการป่วยนานนับเดือน เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าคุณหมอได้แนะนำเกี่ยวกับโรคนี้อย่างไรบ้าง
โรคติดเชื้อชิคุนกุนยา เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ ชิคุนกุนยาไวรัส ติดต่อมาสู่คนโดยการถูกยุงลายกัด โดย (ยุงลายเป็นพาหะที่นำโรคมาสู่คน 2 โรคที่สำคัญ คือ โรคไข้เลือดออก และ โรคติดเชื้อชิคุนกุนยา) ระยะฟักตัวของโรคติดเชื้อชิคุนกุนยา คือ 2 – 5 วัน
โรคชิคุนกุนยา แตกต่างจากไข้เลือดออกอย่างไร
เมื่อผู้ป่วยถูกยุงลายที่มีเชื้อชิคุนกุนยาไวรัส กัด จะมีระยะฟักตัวของโรค 2 – 5 วัน และเมื่อครบระยะฟักตัว ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงเริ่มจาก
นอกจากนั้น อาจมีอาการป่วยซึ่งไม่ใช่อาการเฉพาะของการติดเชื้อชิคุนกุนยา เช่น ปวดศีรษะ เยื่อบุตาแดง รวมทั้งอาการอื่น ๆ เช่น อาการปวดข้อ ปวดศีรษะ นอนไม่ค่อยหลับ
อาการเหล่านี้ อาจคงอยู่ยาวนานในผู้ป่วยแต่ละรายไม่เหมือนกัน ส่วนอาการปวดข้อ มักจะเป็นอยู่นาน บางรายอาจนานถึง 2 ปี
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคชิคุนกุนยา
การวินิจฉัยที่ดีที่สุด คือ จะต้องมีการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย ซึ่งมีหลายวิธี เช่น
ห่างไกลจากโรคนี้ได้โดย...
ป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด เป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด ทำได้โดย นอนกางมุ้ง หรือ นอนในห้องมีมุ้งลวด นอกจากนี้ การใส่เสื้อแขนยาว ใช้ยาทากันยุง จะช่วยป้องกันการถูกยุงกัดได้ดี หรือ การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น กำจัดหลุมบ่อที่อาจมีน้ำขัง และเป็นแหล่งเพาะพันธ์ยุง
ถ้าเป็นโรคชิคุนกุนยาแล้ว รักษาอย่างไร
เนื่องจากไม่มียาเฉพาะสำหรับการรักษาผู้ติดเชื้อชิคุนกุนยา การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อลดอาการของผู้ป่วย เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด เพื่อลดไข้ ลดอาการปวดตามข้อ ถึงแม้ผู้ป่วยจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่อาการปวดข้ออาจคงอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์ หลายเดือน ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้ป่วยได้
เนื่องจากยุงลายสามารถนำโรคได้ทั้ง ไข้เลือดออก และ โรคชิคุนกุนยา ดังนั้น การดูแลตนเอง เพื่อให้พ้นจากการถูกยุงลายกัดก็จะช่วยป้องกันการป่วยได้ทั้งไข้เลือดออก และโรคติดเชื้อชิคุนกุนยา
การนอนในมุ้ง การอยู่ในห้องที่มีมุ้งลวด การใช้ยาทากันยุง การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงภายในบ้านและรอบบ้าน เป็นมาตรการที่สำคัญในการป้องกันโรคที่นำพาโดยยุงครับ
บทความโดย: รศ.นพ.วินัย รัตนสุวรรณ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์: http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=955